ผิวแห้ง และขาดน้ำ

ผิวแห้ง และขาดน้ำ ผิวแห้ง (Dry skin) คือ สภาพผิวที่ “ขาดความมัน” อาจมีสาเหตุมาจากต่อมไขมันผลิตน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวได้น้อยกว่าปกติ จึงทำให้ผิวไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้นาน สิ่งระคายเคืองลอดผ่านผิวได้ง่าย ส่งผลให้ผิวมีอาการแห้งตึงหรือคัน ไปจนกระทั่งแห้งกร้าน และลอกเป็นขุย ผิวจะอยู่ในสภาพที่บอบบาง แพ้ง่าย และแห้งอยู่เสมอโดย ไร้ซึ่งความมัน หรือความชุ่มชื้น ส่วนมากผิวแห้งจะเป็นสภาพผิว ที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด หรือเป็นปัญหาที่เกิดตามอายุ และโรคผิวหนังบางประเภท

     ผิวขาดน้ำ (Dehydrated skin) คือ ภาวะปัญหาผิวที่ขาดความชุ่มชื้น หรือขาดน้ำใต้ผิวอย่างเพียงพอ สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกๆ สภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้ง ผิวผสม หรือแม้กระทั่งผิวมัน ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย อาทิ สภาพอากาศ มลภาวะภายนอก รวมไปถึงการรับประทานอาหารเป็นต้น

อาการผิวขาดน้ำนั้น หากเรามองแบบผิวเผิน อาจดูไม่ค่อยต่างจากผิวแห้ง สักเท่าไหร่ โดยสิ่งที่ผิวขาดน้ำ แตกต่างจากผิวแห้งอย่างชัดเจนก็คือ มีสภาพผิวที่ทั้งแห้ง และมันในเวลาเดียวกันนั่นเอง ถ้าลองสังเกตดีๆ ผิวขาดน้ำจะมีสภาพที่อ่อนล้า ดูหมองคล้ำไม่สดใส เห็นริ้วรอยได้ชัดเจน Bitcoin เนื่องจากผิวสูญเสียคอลลาเจน ลูบแล้ว รู้สากผิวไม่นุ่มมือ และอาจทำให้มีการผลิตน้ำมันบนผิวมากเกินไป เพื่อชดเชยความชุ่มชื้นที่เสียไป หากปล่อยไว้นาน อาจทำให้ผิวสูญเสียการทำงาน จึงทำให้ผู้ประสบปัญหาผิวแห้ง และผิวขาดน้ำนี้มีแนวโน้มกลายเป็นผิวที่ Sensitive หากไม่มีการดูแลที่เหมาะสมนั่นเอง

สาเหตุที่ทำให้ ผิวแห้ง และขาดน้ำ

สาเหตุที่ทำให้ผิวขาดน้ำ มีทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ซึ่งหากรู้สาเหตุที่แท้จริงแล้ว เราจะได้สามารถควบคุมและแก้ไขไม่ให้เกิดสภาวะผิวขาดน้ำได้ 

ปัจจัยภายใน

           เริ่มที่ปัจจัยภายในที่ทำให้เกิดสภาวะผิวขาดน้ำ มาจากโรคทางกรรมพันธุ์ เช่น โรคภูมิแพ้ผิวหนัง จนทำให้ไม่สามารถเก็บความชุ่มชื้นเอาไว้ได้ และมีอีกหนึ่งสาเหตุนั้นก็คือ อายุที่เพิ่มมากขึ้น เพราะในผู้สูงอายุจะมีการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันได้น้อยลง จึงทำให้เกิดการสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่ายขึ้น

ปัจจัยภายนอก

           ต่อมาเป็นปัจจัยภายนอก ที่ทำให้เกิดผิวขาดน้ำ ซึ่งมีสาเหตุมาจากสารเคมี ในการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด pg slot ทดลองเล่น ที่มีสารเคมีรุนแรงเกินไป เมื่อนำมาชำระล้างผิวหน้า เพื่อกำจัดความมันที่เคลือบผิวออก ก็จะทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น นอกจากนี้ สภาพอากาศหนาวที่มีความชื้นต่ำ ทำให้น้ำในผิวสูญเสียง่ายขึ้น จนอาจทำให้ผิวหน้าอักเสบ ระคายเคืองจากการที่ผิวแห้งได้ รวมถึงไปถึงการดื่มน้ำไม่เพียงพอ พักผ่อนน้อย ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เมื่อออกไปข้างนอก เจอแสงแดดแล้วไม่ได้ทาครีมกันแดด เป็นต้น

วิธีเติมน้ำให้ผิวขาดน้ำ ดูอิ่มฟู กระจ่างใส หากใครมีสภาวะผิวขาดน้ำไม่ต้องเป็นกังวล เพราะสามารถเติมน้ำให้กับผิวที่ขาดน้ำได้อยู่หลายวิธีด้วยกัน ตั้งแต่วิธีที่ทำได้ด้วยตนเอง ไปจนถึงวิธีการทางการแพทย์ เพื่อให้ผิวหน้ากลับมามีความชุ่นชื้น ดูอิ่มฟู มีความกระจ่างใส ไร้ความหมองคล้ำ โดยสามารถเลือกวิธีที่สะดวกได้ตามนี้

ดื่มน้ำ พักผ่อนให้เพียงพอ น้ำเป็นปัจจัยสำคัญของทุกชีวิต แต่ใช่ว่าทุกคนจะดื่มน้ำเพียงพอในแต่ละวัน การดื่มน้ำนอกจากจะเป็นสิ่งสำคัญกับร่างกายแล้ว ยังช่วยเติมน้ำให้ผิวดูอิ่มฟู  ยิ่งใครที่อายุมากขึ้น สัดส่วนน้ำในร่างกายก็จะยิ่งลดลง หากต้องการให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น ควรดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย 

นอกจากนี้การพักผ่อนก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าการดื่มน้ำเลย เพราะการพักผ่อนทำให้ร่างกายได้ฟื้นฟูระบบต่างๆ  รวมถึงฟื้นฟูเซลล์ผิวด้วย หากนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ก็จะทำให้ผิวที่เคยขาดน้ำกลับมามีสุขภาพดีขึ้นได้

บำรุงผิวด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์ การบำรุงผิวด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์มักเป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม ซึ่งจริงๆ แล้ว นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ในการดูแลผิวขาดน้ำ เพราะมอยส์เจอร์ไรเซอร์สามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับทุกสภาพผิว คนผิวมันก็สามารถใช้ได้ โดยควรเลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับสภาพผิวของตนเอง อย่างเช่นผิวมันควรใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์สำหรับผิวมันขาดน้ำ เป็นต้น

การทำหัตถการ สำหรับใครที่ทำมาทุกวิถีทางแล้วแต่ปัญหาผิวขาดน้ำยังไม่ดีขึ้น ยังมีวิธีการทางการแพทย์ นั่นคือการทำหัตถการเพื่อฟื้นฟูผิวขาดน้ำ ทั้งการฉีดฟิลเลอร์ การทำเมโสหน้าใส ที่จะทำให้ผิวหน้ามีความอิ่มน้ำได้อย่างรวดเร็ว เห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน

Search

About

Lorem Ipsum has been the industrys standard dummy text ever since the 1500s, when an unknown printer took a galley of type and scrambled it to make a type specimen book.

Lorem Ipsum has been the industrys standard dummy text ever since the 1500s, when an unknown printer took a galley of type and scrambled it to make a type specimen book. It has survived not only five centuries, but also the leap into electronic typesetting, remaining essentially unchanged.